
ความเป็นมาของชมรมเชียร์ไทย


จุดกำเนิดของเชียร์ไทยฯ เกิดขึ้นในนัด ไทย-สวีเดน



หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ รายงานข่าวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2546
ชมรมเชียร์ไทย ก่อตั้งเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2544 โดย นายพินิจ งามพริ้ง ได้ประกาศเข้าเชียร์ทีมชาติไทยอย่างเป็นกลุ่มก้อน เพื่อการสร้าง วัฒนธรรมใหม่ในการเชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย ที่เน้นถึงความสามัคคีและมีเอกลักษณ์โดยเข้าเชียร์เป็นครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพระหว่างไทยกับสวีเดน
จนต่อมาได้มีผู้ร่วมเข้ามาเป็นแกนนำก่อตั้งอีก 8 คน ได้แก่ 1. นายกิตติกุล บุญพิมพ์ (ยุ่น) 2. นายวีรพจน์ กันติเอื้อ (พจน์) 3. นายพรชัย พยนต์ภาค (เอ๋) 4. นายรักศักดิ์ เลิศคงคาทิพย์ (เปิ้ล) 5. นายเสรี ลิมป์กิตติกุล (ป๊อบ) 6. ณัฐพงค์ สุขสมมล (ตุ้ม) 7. ยศสรัญชน์ บดินทร์สมัย (กอด) 8. ไชยา ละเลิง (อู๊ด) ทั้งนี้ได้ใช้เวบไซต์ cheerthai.com เป็นสื่อกลางในนัดหมายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งชมรมคือ
- เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มแฟนบอลชาวไทย
- เพื่อการพัฒนาที่ดีขึ้นของวงการฟุตบอลไทย
- เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นวัฒนธรรมใหม่ในการเชียร์ฟุตบอลไทยในหมู่แฟนบอลไทย โดยเน้นความสามัคคี
- เพื่อเป็นแกนนำและส่งเสริมการพัฒนาชมรมเชียร์ฟุตบอลในจังหวัดต่างๆ ที่ร่วมแข่งระดับไทยลีก และโปรวินเชี่ยลลีก
- เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ซึมซับความรักชาติในรูปแบบของการเชียร์กีฬา
- เพื่อขยายฐานกองเชียร์ทีมชาติไทย
ชมรมเชียร์ไทย จัดกิจกรรมให้สมาชิกเข้านำ เชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น การแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพ การแข่งขันฟุตบอลปรีโอลิมปิก การแข่งขัน ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก การแข่งขันฟุตบอลอาเซียนคัพ และการแข่งขันนัดพิเศษ และอุ่นเครื่องต่างๆ ปัจจุบัน ชมรมเชียร์ไทย พาวเวอร์ มีสมาชิกประมาณ 18,000 คนทั่วประเทศ และมีชุมชนแฟนฟุตบอลไทยจำนวนมาก
ย้อนอดีต เมื่อราวปลายปี พ.ศ. 2546 ชมรมเชียร์ไทยฯ ได้เสนอความคิดเห็นเสนอต่อผู้บริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้มีการพัฒนาฟุตบอลลีกอาชีพขึ้นในประเทศไทย โดยได้ยื่น "แผนแม่บทในการพัฒนาฟุตบอลไทยอย่างยั่งยืน" แก่ผู้บริหารสมาคมฯ แต่ขณะนั้น ผู้คนที่เข้าร่วมประชุมยังไม่มีความเข้าใจมากนัก จึงไม่ได้มีการนำมาใช้อย่างจริงจัง (จนกระทั่งปี 2551 สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือ AFC บังคับให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เอาจริงกับการพัฒนาฟุตบอลอาชีพ)
ในระหว่างปี 2544-2548 นอกเหนือจากการเชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย ชมรมเชียร์ไทยฯ มีกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น การริเริ่มสนามฟุตบอลให้เช่าบริเวณถนนเกษตร -นวมินทร์ และใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมเตะฟุตบอลของสมาชิกในวันเสาร์อาทิตย์ ภายใต้ชื่อ เชียร์ไทยเอฟซี (CTFC) การริเริ่มจัดการโหวตมอบรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยม Cheerthai Award โดยในปี 2545 รางวัลตกเป็นของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และ ปี 2546รางวัลเป็นของ ตะวัน ศรีปาน และปี 2547 เป็นของดัสกร ทองเหลา แต่หลังจากนั้น ก็ไม่ได้มีการโหวตแจกรางวัล
เสื้อยืด บอลนอกแค่สะใจ บอลไทยอยู่ในสายเลือด
เชียร์ไทย มาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นระหว่างปี 2548-2550 จากคำขวัญยอดฮิต "บอลนอกแค่สะใจ แต่บอลไทยอยู่ในสายเลือด" โดย พินิจ งามพริ้ง และโปสเตอร์ "ตายไม่ตายกูไม่รู้ กูจะสู้เพื่อเมืองไทย" ออกแบบโดย นายสุรัตน์ โคตรมุงคุณ (อ๊อด) และมีการริเริ่มเปิดร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับฟุตบอลไทยเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ Cheerthai Shop ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว เพื่อนำเสนอฟุตบอลไทยสู่กลุ่มคนในวงกว้างมากขึ้น และในปี 2549 เองได้เปลี่ยนชื่อชมรมเป็น "เชียร์ไทย พาวเวอร์"